วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

                                                                            พัทลุง
รวมสถานที่ท้องเที่ยวเบื้องต้น





เพลงเพราะๆจากเมืองใต้ครับๆๆๆๆๆๆๆ




                                                                           พัทลุง

ประเพณีชิงเปรต



                 เป็นงานประเพณีซึ่งจัดขึ้นในเทศกาลสารทไทย ปีหนึ่งจะมีการจัดงานชิงเปรตขึ้น 2 ครั้ง คือในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 และวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 อีกครั้งหนึ่ง ตามคติโบราณที่เชื่อกันมาว่า ผู้ตายไปแล้วนั้นมีจำนวนไม่น้อย ไปตกนรก

หมกไหม้ เพราะเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ได้ทำบาปไว้มาก ผู้ที่ตกนรกนี้ชาวพัทลุงเรียกว่า "เปรต" ครั้นพอถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ยมบาลจะปล่อยตัวเปรตเหล่านี้ออกจากนรกมาบนโลกมนุษย์ เพื่อรับเซ่นสังเวยจากญาติพี่น้องของตนเอง และจะอยู่ได้จนถึง

วันแรม 15 ค่ำเดือน 10 เท่านั้น จะต้องกลับลงนรกในวันนี้ ด้วยคตินี้เอง ชาวเมืองพัทลุงจึงจะพากันไปทำ บุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติพี่น้องของตน โดยจัดสำรับเครื่องคาวหวานใส่สำรับไปถวายพระ พร้อมกับนำขนมและอาหารคาว หวานอีกส่วนหนึ่งตั้ง

ไว้ตรงปากทางเข้าวัดเรียกว่า "ตั้งเปรต" พอทำบุญเสร็จก็มีการชิงเปรต คือมีการแย่งอาหารคาวหวานและขนมที่ตั้งไว้ โดยถือว่าการแย่งหรือชิงเครื่องเซ่นสังเวยเปรตบรรพบุรุษนั้นกินแล้วจะโชคดี พิธีชิงเปรตนี้จึงทำกันครั้งแรก ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน

10 ถือเป็นวันต้อนรับเปรตที่ขึ้นมาจากนรก และทำอีกครั้งในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ถือเป็นการส่งเปรตกลับสู่นรก

วัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่น จังหวัดพัทลุง


1.งานประเพณีแข่งโพนลากพระ (ชักพระ)
นิยมทำกันทั่วไปในภาคใต้ ในช่วงเดือน 11 (แรม 1 ค่ำ เดือน 11) การลากพระมีอยู่ 2 ลักษณะ ตามความเหมาะสมของภูมิประเทศ คือ ลากพระทางบกและลากพระทางน้ำ สำหรับจังหวัดพัทลุงเป็นการลากพระทางบก ซึ่งจะมีการตีโพน (กลอง) เพื่อควบคุมจังหวะในการลากพระ ขบวนพระลากของแต่ละวัดก็จะมีผู้ตีโพนอยู่บนขบวน และเมื่อผ่านวัดต่างๆ ก็จะมีการตีโพนท้าทายกัน ทำให้มีการแข่งขันตีโพนเกิดขึ้น และทางจังหวัดพัทลุงก็ได้จัดให้มีการแข่งขันตีโพนขึ้นเป็นประจำทุกปี ในเทศกาลลากพระเดือน 11 








2.การละเล่นซัดต้ม 
ประเพณีซัดต้มมีที่มาอันเกี่ยวข้องกับประเพณีลากพระกล่าวคือ ในสมัยพุทธกาลเมื่อพระพุทธเจ้า เสด็จกลับจากจำพรรษา ณ สวรรค์ชั้นดาวดีงส์ ลงมายังโลกมนุษย์ซึ่งตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 จะมีพุทธศาสนิกชนรอ เข้าเฝ้าเพื่อถวายภัตตาหารแด่พระพุทธองค์ แต่เนื่องจากพุทธศาสนิกชนมีเป็นจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถถวายภัตตาหาร ได้อย่างใกล้ชิด จึงได้มีการนำใบไม้มาห่อหุ้มภัตตาหาร ซึ่งเรียกกันว่า "ข้าวต้ม" หรือ "ต้ม" และพยายามโยนต้มเหล่านั้นให้ลงบาตร แต่การโยนทำให้ต้มพลาดไปถูกเหล่าพุทธศาสนิกชนด้วยกันเอง ต่อมาจึงกลายเป็นการละเล่นซัดต้ม และพัฒนาเป็นการแข่งขันด้านไหวพริบ และความรวดเร็วว่องไวในการซัดและหลบหลีกต้มซึ่งจัดทำอย่างพิเศษ (ใช้ข้าวตากผสมกับทรายห่อด้วยใบตาลเป็นรูปตะกร้อสี่เหลี่ยม) การละเล่นซัดต้มต้องอาศัยความกล้าหาญเป็นอย่างมาก เพราะถ้าไม่สามารถหลบหลีกต้มของคู่ต่อสู้ อาจจะเป็นอันตรายได้ ปัจจุบันการซัดต้มหาดูได้ค่อนข้างยาก ทางจังหวัดพัทลุงจึงได้จัดให้มีการแข่งขันซัดต้ม รวมอยู่ในงานประเพณีแข่งโพนลากพระใน เดือน 11 ด้วย 

3.ประเพณีชิงเปรต 
เป็นงานประเพณีซึ่งจัดขึ้นในเทศกาลสารทไทย ปีหนึ่งจะมีการจัดงานชิงเปรตขึ้น 2 ครั้ง คือในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 และวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 อีกครั้งหนึ่ง ตามคติโบราณที่เชื่อกันมาว่า ผู้ตายไปแล้วนั้นมีจำนวนไม่น้อย ไปตกนรกหมกไหม้ เพราะเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ได้ทำบาปไว้มาก ผู้ที่ตกนรกนี้ชาวพัทลุงเรียกว่า "เปรต" ครั้นพอถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ยมบาลจะปล่อยตัวเปรตเหล่านี้ออกจากนรกมาบนโลกมนุษย์ เพื่อรับเซ่นสังเวยจากญาติพี่น้องของตนเอง และจะอยู่ได้จนถึงวันแรม 15 ค่ำเดือน 10 เท่านั้น จะต้องกลับลงนรกในวันนี้ ด้วยคตินี้เอง ชาวเมืองพัทลุงจึงจะพากันไปทำ บุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติพี่น้องของตน โดยจัดสำรับเครื่องคาวหวานใส่สำรับไปถวายพระ พร้อมกับนำขนมและอาหารคาว หวานอีกส่วนหนึ่งตั้งไว้ตรงปากทางเข้าวัดเรียกว่า "ตั้งเปรต" พอทำบุญเสร็จก็มีการชิงเปรต คือมีการแย่งอาหารคาวหวานและขนมที่ตั้งไว้ โดยถือว่าการแย่งหรือชิงเครื่องเซ่นสังเวยเปรตบรรพบุรุษนั้นกินแล้วจะโชคดี พิธีชิงเปรตนี้จึงทำกันครั้งแรก ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ถือเป็นวันต้อนรับเปรตที่ขึ้นมาจากนรก และทำอีกครั้งในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ถือเป็นการส่งเปรตกลับสู่นรก 

4.งานวันอนุรักษ์มรดกไทยและงานมหกรรมชิงแชมป์หนังตะลุง 
เป็นงานที่จัดขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายนของทุกปี กิจกรรมภายในงานจะเป็นการจัดนิทรรศการการละเล่นพื้นบ้านปักษ์ใต้ และการประกวดหนังตะลุงซึ่งได้รับความสนใจจากศิลปินพื้นบ้านเข้าร่วมการประกวดมากมาย งานดังกล่าวนี้จะจัดขึ้น ณ บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดพัทลุง





5.โนรา นาฏศิลป์เมืองใต้ 
เป็นการละเล่นพื้นเมืองภาคใต้ที่มีมาแต่โบราณ ประมาณอายุตามที่หลาย ๆ ท่านสันนิษฐานไว้ ตกสมัยศรีวิชัย หรือไม่ก็ราวพุทธศตวรรษที่ 19 เป็นอย่างน้อย ด้วยกาลเวลาผ่านมานานเช่นนี้ ทำให้ประวัติความเป็นมาของโนราเล่าผิดเพี้ยนกันจนกลายเป็นตำนานหลายกระแสเล่าโดย ขุนอุปถัมภ์นรากร( โนราพุ่มเทวา) อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ความว่า พระยาสายฟ้าฟาดเป็นกษัตริย์ครองเมือง ๆ หนึ่ง มีชายาชื่อนางศรีมาลา มีธิดาชื่อนวลทองสำลี วันหนึ่ง นางนวลทองสำลีสุบินว่ามีเทพธิดามาร่ายรำให้ดู ท่ารำมี 12 ท่า มีดนตรีประโคมได้แก่ กลอง ทับ โหม่ง ฉิ่ง ปี่ และแตระ นางให้ทำเครื่องดนตรี และหัดรำตามที่สุบินเป็นที่ครึกครื้นในปราสาท 

กระแสที่ 2 เล่าโดยโนราวัด จันทร์เรือง ตำบลพังยาง อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ความว่า เมืองปัญจา เจ้าเมือง ชื่อท้าวแสงอาทิตย์ ชายาชื่อ กฤษณา มีโอรสชื่อ ศรีสุธน มีชายาชื่อกาหนม มีพรานปืนหนึ่งคน ชื่อบุญสิทธิ์ พรานออกป่าล่าเนื้อมาส่งส่วยทุก 7 วัน ครั้งหนึ่งหาเนื้อไม่ได้ แต่ได้พบนาง 7 คน มาอาบน้ำที่สระอโนตัด ครั้นกลับมาเฝ้าพระราชาและทูลว่าหาเนื้อไม่ได้ จึงถูกภาคทัณฑ์ว่าถาหาเนื้อไม่ได้อีกครั้งเดียว จะถูกตัดหัว พรานจึงคิดจะไปจับนางทั้ง 7 มาถวายแทนสัก 1 คน ครั้งหนึ่ง ขณะนางทั้ง 7 คนอาบน้ำที่สระอโนตัด พรานบุญลักปีกหางนางโนรา แล้วไปขอร้องพญานาคเกลอมาช่วยจับ พญานาคนี้เดิมเคยถูกครุฑเฉี่ยว พรานบุญได้ช่วยชีวิตไว้ ครั้นพรานขอร้องจึงให้การช่วยเหลือ พรานนำนางโนราไปถวายพระศรีสุธน พระศรีสุธนรับไว้เป็นชายา ต่อมาข้าศึกเมืองพระยาจันทร์ยกมาตีปันจา พระศรีสุธนออกศึก แล้วตามไปปราบถึง เมืองพระยาจันทร์อยู่ข้างหลัง นางกาหนมหาอุบายจะฆ่านางโนรา โดยจ้างโหรให้ทำนายว่า พระศรีสุธนมี พระเคราะห์จะไม่ได้กลับเมือง ถ้าไม่ได้ทำพิธีบูชายัญ การบูชายัญนี้ให้เอานางโนราเผาไฟ นางโนราจึงอุบาย ขอปีกหางสวมใส่เพื่อรำไห้แม่ผัวดูก่อนตาย และให้เปิดจาก 7 ตับเพื่อรำถวายเทวดา นางรำจนเพลินแล้วบินหนีไปเมืองไกรลาศ พระสุธนตามไปจนได้รับกลับเมือง 

กระแสที่ 3 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอ้างถึงหลักฐานอันเป็นตำนานที่ได้ไปจากนครศรีธรรมราช ดังปรากฎในหนังสือตำนานละครอิเหนาว่า”ในคำใหว้ครูของโนรามีคำกล่าวถึงครูเดิมของโนรา
ที่ชื่อขุนศรัทธาอยู่ในกรุงศรีอยุธยา มีความผิดต้องราชทัณฑ์ ถูกลอยแพไปเสียจากพระนคร แพลอยไปติดอยู่ที่เกาะสีชัง พวกชาวเรือทะเลมาพบเข้า จึงรับไปส่งขึ้นที่เมืองนครศรีธรรมราช ขุนศรัทธาจึงได้เป็นครูฝึกโนรา ให้มีขึ้นที่เมืองนครเป็นต้นมา” 


พัทลุง

           วัดคูหาสวรรค์

          ตั้งอยู่เชิงเขาคูหาสวรรค์ ใกล้ ๆ ตัวตลาดพัทลุง เป็นโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งในจังหวัดพัทลุง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 13-15 ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์ใหญ่ พระเจดีย์ พระพุทธรูปและยังพบพระพิมพ์ดินดิบสมัยศรีวิชัย บริเวณหน้าถ้ำมีจารึกพระปรมาภิไธยย่อของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีถ้ำนางคลอด ซึ่งภายในถ้ำตกแต่งด้วยภาพปูนปั้นเกี่ยวกับเรื่องราวพื้นบ้านอีกด้วย
    
           วัดวัง

          อยู่ตำบลลำปำ ห่างจากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 4047 ประมาณ 6 กิโลเมตร (ใช้เส้นทางเดียวกับเขาอกทะลุ) เป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดพัทลุง เดิมเป็นวัดโบราณ สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ต่อมาได้สร้างขึ้นใหม่โดยพระยาพัทลุง (ทองขาว) ในสมัยรัชกาลที่ 3 และเคยเป็นสถานที่ทำพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในสมัยรัตนโกสินทร์ ต่อมาเมื่อย้ายเมืองพัทลุงไปตั้งที่ตำบลคูหาสวรรค์ วัดวังก็ชำรุดทรุดโทรมลง และได้มีการบูรณะขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2512 

          สิ่งสำคัญของวัดวังคือ พระอุโบสถ เป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ ประดับด้วยช่อฟ้าใบระกา ด้านหน้ามีมุขเด็จยื่นออกมาภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสีฝุ่น สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 กล่าวกันว่าเป็นฝีมือช่างคณะเดียวกับที่เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติและเทพชุมนุม บริเวณระเบียงคดโดยรอบมีพระพุทธรูปปูนปั้น 108 องค์ นอกจากนี้ยังมีพระเจดีย์ วิหารและธรรมาสน์ลายทองสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์เช่นเดียวกับพระอุโบสถ เหมาะสำหรับผู้สนใจศึกษาทางด้านสถาปัตยกรรมไทย


พัทลุง

           วังเจ้าเมืองพัทลุง (วังเก่า-วังใหม่)

          ตั้งอยู่ใกล้กับวัดวัง เดิมเป็นที่ว่าราชการและเป็นที่พักอาศัยของเจ้าเมืองพัทลุง ปัจจุบันยังเหลืออยู่ส่วนหนึ่งคือ วังเก่า สร้างในสมัยพระยาพัทลุง (น้อย จันทโรจวงศ์) เป็นผู้ว่าราชการ ต่อมาวังได้ตกทอดมาจนถึงนางประไพ มุตามะระ บุตรีของหลวงศรีวรฉัตร ส่วนวังใหม่ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2432 โดยพระยาอภัยบริรักษ์จักราวิชิตพิพิธภักดี (เนตร จันทโรจวงศ์) บุตรชายของพระยาพัทลุงซึ่งเป็นเจ้าเมืองพัทลุง ปัจจุบันทายาทตระกูล “จันทโรจวงศ์” ได้มอบวังนี้ให้เป็นสมบัติของชาติและกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็น โบราณสถานวังเก่า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 และวังใหม่ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 

          เวลาเปิด-ปิด : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันจันทร์-วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00-12.00 น. และ 13.00-16.00 น. อัตราค่าเข้าชม : ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างประเทศ 50 บาท

ถ้าขับรถเข้าเมืองพัทลุง แล้วผ่านไปทางตำบลลำปำ ทางด้านขวามือก็จะพบเรือนไทยโบราณ 2 หลัง ที่ตั้งตระหง่านบนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งอดีตเคยเป็นบ้านพักของเจ้าเมืองพัทลุง ที่ปัจจุบันถูกกำหนดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม มีความสวยงาม และสร้างความประทับใจต่อผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก
 
     วังเจ้าเมืองพัทลุงหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “วังเก่า-วังใหม่” เนื่องจากมีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนคือ วังเก่าและวังใหม่ ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ในอดีตเคยถูกใช้เป็นที่ว่าราชการและเป็นที่พักอาศัยของเจ้าเมืองพัทลุง แต่ในปัจจุบันทายาทตระกูล “จันทโรจวงศ์” ซึ่งเป็นตระกูลของเจ้าเมืองพัทลุงผู้สร้างวังนี้ขึ้นมาได้มอบวังนี้ให้เป็นสมบัติของชาติ และกรมศิลปากรซึ่งได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานวังเก่า เมื่อวันที่ 16 กรกฏาคม 2535 และวังใหม่ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2526
 
     วังเจ้าเมืองพัทลุง ประกอบด้วย “วังเก่า” และ “วังใหม่” เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของจังหวัดพัทลุง วังเก่าเป็นวังเจ้าเมืองพัทลุง คือ พระยาอภัยบริรักษ์(น้อย จันทโรจน์วงศ์) สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สภาพปัจจุบันเป็นเรือนไทยภาคใต้ผสมภาคกลาง มีเรือนไทยทรงไทยแฝดอยู่ตรงกลาง ส่วนวังใหม่อยู่ทางทิศใต้ติดกับชายคลองลำปำ เป็นกลุ่มเรือนไทย 5 หลัง แบ่งเป็นเรือนนอนและเรือนครัว เรือนทุกหลังสร้างด้วยไม้แบบเรือนไทยโบราณ    นอกจากนี้บริเวณวังเจ้าเมืองยังมีศาลาไทยริมน้ำและเรือพัทลุง ซึ่งเป็นเรือเก่าสมัยรัชกาลที่ 5 
 
     ส่วนเหตุผลที่ถูกเรียกว่าวังก็คือ “เจ้าเมือง” ในสมัยโบราณ คือ “ผู้เป็นเจ้าแห่งเมือง” เนื่องจากมีอำนาจ สิทธิ์ขาด ในการปกครองบ้านเมืองแบบ “กินเมือง” เมื่อเจ้าเมืองมีอำนาจในฐานะเป็นผู้แทนต่างพระเนตรพระกรรณเช่นนี้ย่อมถือว่าเป็นเสมือนเจ้า หรือ เจ้าแห่งเมืองเมืองนั้น ที่อยู่ของท่านที่เป็นเจ้าเมือง จึงต้องเรียกว่า “วัง” ด้วย 
 
     และที่เรียกว่า “วัง” ก็มิใช่เฉพาะ”วังเก่า” และ “วังใหม่” ดังกล่าว แต่มีเรียกว่าวังอีกหลายแห่ง เช่น ที่เมืองนครศรีธรรมราช หรือที่เมืองพัทลุงนี้เองก็เคยมี “วังกลาง” และ “วังสวนดอกไม้” อยู่ไม่ไกลจากกลุ่มอาคาร “วังเก่า” และ “วังใหม่”

     วังเจ้าเมืองพัทลุงตั้งอยู่ที่ ถนนอภัยบริรักษ์ หมู่ที่ 4 ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง ส่วนการเดินทาง เดินทางจากศาลากลางจังหวัดพัทลุงไปทางทิศตะวันออกตามถนนราเมศวร์-อภัยอภิรักษ์ ประมาณ 7 กิโลเมตร
 
     และต่อมาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิด “วังเจ้าเมืองพัทลุง” อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2536




พัทลุง


           อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า
    
          เป็นอุทยานฯลำดับที่ 42 ของประเทศไทย ประกาศเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2525 ครอบคลุมจังหวัดพัทลุง นครศรีธรรมราชและจังหวัดตรัง มีเนื้อที่ประมาณ 433,750 ไร่ ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นป่าเทือกเขาบรรทัด มีภูเขาสลับซับซ้อนมากมายมี "เขาหินแท่น" เป็นยอดเขาสูงสุด พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า เป็นต้นน้ำของแม่น้ำตรังและแม่น้ำปากพนัง โดยในฝั่งจังหวัดพัทลุงเป็นแหล่งกำเนิดคลองลาไม คลองไม้เสียบ คลองน้ำใส ซึ่งจะไหลรวมเป็นคลองชะอวดและแม่น้ำปากพนัง และสภาพพืชพรรณส่วนใหญ่เป็นป่าดิบชื้น มีพรรณไม้หลายชนิดขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นเช่น ไม้ยาง ตะเคียน หลุมพอ กระบาก จำปาป่า พิกุล เป็นต้น

          ส่วนสัตว์ป่ามีจำพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ประมาณ 60 ชนิด เช่น เลียงผา เก้ง กวาง ค้างคาวมงกุฎเล็ก ค้างคาวปีกถุงเคราดำ เป็นต้น สัตว์จำพวกนกพบประมาณ 286 ชนิด เช่น นกแซวสวรรค์ นกกางเขนดง นกกินปลีสีเรียบ นกจับแมลงสีส้ม นกขุนแผนอกส้ม นกกระบั้งรอก นกเงือกหัวหงอก นกเขาเขียว นกกระเต็นแดง เป็นต้น จำพวกสัตว์เลื้อยคลาน พบประมาณ 67 ชนิด จำพวกปลา พบประมาณ 15 ชนิด จำพวกสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก จำพวกแมลง พบประมาณ 70 ชนิด นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกคือ...



อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า ตั้งชื่อตามภูเขาที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้คนในจังหวัดพัทลุง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เขาปู่” ซึ่งถือว่าเป็นภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณ “ตาปู่” เป็นเทพกึ่งธรรพ์ ซึ่งเป็นที่นับถือเคารพกราบไหว้ของชาวตำบลเขาปู่และประชาชนทั่วไป

        อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่ามีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอทุ่งสง อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช อำเภอรัษฎา อำเภอห้วยยอด อำเภอเมือง อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง และกิ่งอำเภอศรีนครินทร์ อำเภอศรีบรรพต อำเภอป่าพะยอม อำเภอกงหลา จังหวัดพัทลุง ตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาบรรทัด สลับซับซ้อนปกคลุมด้วยป่าดงดิบชื้นเขียวสะพรั่งทุกฤดูกาล จนได้รับสมญานามว่า “ป่าพรหมจรรย์” ในตอนกลางของพื้นที่เป็นที่ราบ ซึ่งมีบ้านพักแบบทาร์ซานสร้างเรียงรายอยู่ตามริมห้วยธาร นับเป็นเอกลักษณ์ของอุทยานแห่งชาติเขาปู่ - เขาย่า รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 433,750 ไร่ หรือ 694 ตารางกิโลเมตร ฅ 

        ความเป็นมา: เมื่อครั้งที่นายผ่อง เล่งอี้ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองอนุรักษ์สัตว์ป่า ได้เสนอว่า จังหวัดพัทลุงมีเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีของนักท่องเที่ยว เป็นอุทยานนกน้ำที่มีนกชนิดต่างๆ ที่สวยงามและหายากมากกว่า 126 ชนิด อาศัยอยู่ไม่ต่ำกว่า 10,000 ตัว นอกจากนี้มีพื้นที่ป่าบริเวณเทือกเขาบรรทัด ซึ่งเป็นป่าผืนสุดท้ายของจังหวัดพัทลุงและมีธรรมชาติหลายแห่งที่สวยงาม เช่น น้ำตกหนานปลิว น้ำตกพระยานคร น้ำตกเขาคราม ถ้ำมัจฉาปลาวน เป็นต้น เหมาะที่จะจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวโดยจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ ทั้งได้รับความร่วมมือและสนับสนุนอย่างดียิ่งจาก ร้อยตรีกิตติ ประทุมแก้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ตลอดจนครู อาจารย์ และประชาชนชาวพัทลุง 

        กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ได้ดำเนินการสำรวจและได้นำเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ มีมติในการประชุมครั้งที่ 2/2523 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2523 ให้กำหนดบริเวณดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยมีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าเทือกเขาบรรทัดในท้องที่ตำบลน้ำตก อำเภอทุ่งสง ตำบลวังอ่าว อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ตำบลหนองบัว ตำบลหนองปรือ ตำบลท่างิ้ว ตำบลเขาปูน ตำบลห้วยยอด ตำบลปากแจ่ม อำเภอห้วยยอด ตำบลน้ำผุด ตำบลช่อง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง และตำบลตะแพน ตำบลเขาปู่ กิ่งอำเภอศรีบรรพต อำเภอควนขนุน ตำบลบ้านนา อำเภอเมืองพัทลุง ตำบลกงหลา ตำบลชะรัด อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 99 ตอนที่ 72 ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2527 เป็นอุทยานแห่งที่ 42 ของประเทศ ลักษณะภูมิประเทศ 

       สภาพภูมิประเทศ
      เป็นเทือกเขาสูงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาบรรทัด มีภูเขาสูงสลับซับซ้อนมากมายที่วางตัวตามแนวเหนือ-ใต้ ประกอบด้วยภูเขาบรรทัด ภูเขานครศรีธรรมราช เขาปู่-เขาย่า เขาป้าแหร้ เขาสามร้อยยอด เขาวัดถ้ำ เขาพระยากรุงจีน เขาป่าโฮ้ง มีเขาหินแท่นเป็นยอดเขาสูงสุด มีความสูงประมาณ 877 เมตรจากระดับน้ำทะเล พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาปู-เขาย่า เป็นต้นแม่น้ำตรังและแม่น้ำปากพนัง โดยในฝั่งจังหวัดพัทลุงเป็นแหล่งกำเนิดคลองลาไม คลองไม้เสียบ คลองน้ำใส ซึ่งจะไหลรวมเป็นคลองชะอวดและแม่น้ำปากพนัง ส่วนในฝั่งจังหวัดตรังเป็นต้นกำเนิดของคลองลำภูรา คลองละมอ ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำตรัง 

ลักษณะภูมิอากาศ 
       โดยทั่วไปภาคใต้มีเพียงฤดูฝนและฤดูร้อน อากาศในเขตอุทยานแห่งชาติจึงค่อนข้างเย็น เนื่องจากปกคลุมด้วยป่าดงดิบชื้น ฤดูฝนอยู่ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม ฝนตกชุกมากในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน ปริมาณน้ำฝนอยู่ระหว่าง 2,000-2,500 มิลลิเมตร/ปี อุณหภูมิระหว่าง 20-35 องศาเซลเซียส อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 27 องศาเซลเซียส ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวเพราะเป็นฤดูผลไม้ เช่น มังคุด ลางสาด เงาะ ทุเรียน และสะตอ เป็นต้น 

พืชพรรณและสัตว์ป่า 

      สภาพสังคมพืชในอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า ส่วนใหญ่มีสภาพเป็นสังคมพืชป่าดิบชื้น พันธุ์ไม้ที่พบ ได้แก่ ตะเคียนทอง หลุมพอ ยาง กระบาก จำปาป่า พิกุล ไข่เขียว นาคบุตร พญาไม้ หลาวชะโอน หมากพน ฉก ฯลฯ พืชพื้นล่างได้แก่ ช้างร้องไห้ หวาย กล้วยไม้ป่า สมุนไพร และว่านชนิดต่างๆ 

      เนื่องจากอุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า มีอาณาเขตติดต่อกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด จึงมีสัตว์ป่าอพยพไปมาอยู่เสมอ จากการสำรวจชนิดของสัตว์ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติ พบสัตว์ประเภทต่างๆ ประกอบด้วย 

      สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ประมาณ 60 ชนิด เช่น เลียงผา สมเสร็จ หมีคน เสือปลา เก้ง กระจงควาย ค่างแว่นถิ่นใต้ ชะมดแปลงลายแถบ หมาไม้ หนูผีจิ๋ว อีเห็นลายพาด พญากระรอกเหลือง พญากระรอกดำ ค้างคาวแม่ไก่ป่าฝน ค้างคาวปีกถุงเคราดำ ฯลฯ นก พบประมาณ 286 ชนิด อาทิเช่น นกยางไฟหัวสีเทา นกคัดคูสีทองแดง นกบั้งรอกปากแดง นกกะเต็นแดง นกเงือกหัวหงอน นกจอกป่าหัวโต นกพญาปากกว้างเล็กนกขมิ้นน้อยสีเขียว นกจาบดินหัวดำ นกกระจิบกระหม่อมแดง นกจับแมลงสีส้ม นกกินปลีกล้วยปากยาว นกกาฝากสีเลือดหมู ฯลฯ 

      สัตว์เลื้อยคลาน พบประมาณ 67 ชนิด เช่น เต่าจักร ตะพาบน้ำ เห่าช้าง ตุ๊ดตู่ ตะกวด เหี้ย จิ้งเหลนน้อยหางยาว กิ้งก่าบินหัวสีฟ้า ตุ๊กแกป่าใต้ งูดินมลายู งูเห่าทองพ่นพิษ งูคงคาทอง งูใบ้ ฯลฯ 

      สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สำรวจพบ กบหงอนมลายู กบชะง่อนหินเมืองใต้ กบเขาหลังตอง กบตะนาวศรี กบว้าก อึ่งกรายลายจุด อึ่งกรายหัวแหลม อึ่งกรายมลายู คางคกแคระ กบหนอง เขียด บัว เป็นต้น 

     ปลา ในบริเวณแหล่งน้ำพบ ประมาณ 15 ชนิด ได้แก่ ปลาตูหนา ปลามัด ปลาหวด ปลาหลด ปลาซิวควาย ปลาซิวใบไผ่ ปลาอีกอง และปลาชะโอนถ้ำ เป็นต้น 
     แมลง ประมาณ 70 ชนิด อาทิเช่น ผึ้งหลวง ด้วงดีดหนวดไผ่ ด้วงกว่างห้าเขา จักจั่นงวงมวนแดง ผีเสื้อพ่อมด ผีเสื้อหางติ่งอิศวร ผีเสื้อดาราไพรปักษ์ใต้ ผีเสื้อเจ้าป่า ผีเสื้อกระทกรกสีคล้ำ ผีเสื้อถุงทองปักษ์ใต้ เป็นต้ 


พัทลุง

           หมู่เกาะสี่ เกาะห้า     

          เกาะสี่ เกาะห้า เป็นหมู่เกาะหินปูนซึ่งตั้งอยู่ในทะเลสาปสงขลาตอนใน ตำบลเกาะหมาก  อยู่ห่างจากเกาะหมากไปทางทิศตะวันตกประมาณ 1.6 กม. สาเหตุที่เรียกว่า "เกาะสี่เกาะห้า" เนื่องจากเมื่อมองจากทิศใต้และทิศเหนือจะเห็นเป็นเกาะสี่เกาะ  แต่ถ้ามองจากทิศตะวันตกจะเห็นเป็นเกาะห้าเกาะ  จึงเรียกว่า เกาะสี่เกาะห้า 

          หมู่เกาะสี่เกาะห้า  ประกอบด้วยเกาะเล็กเกาะใหญ่มากมาย เช่น เกาะท้ายถ้ำดำ เกาะร้านไก่ เกาะรูสิม เกาะหน้าเทวดา หรือเกาะมวย เกาะกันตัง เกาะป้อย เกาะตาใส เกาะยายโส เกาะกระ เกาะราบ ซึ่งเป็นดินแดนประวัติศาสคร์ ธรรมชาติสมบูรณ์ บริเวณทะเลสาบพัทลุง-สงขลา-นครศรีธรรมราช เป็นที่ก่อกำเนิดชุมชน อารยธรรม ศิลปวัฒนธรรมนับพันปี และสืบเนื่องมาเป็นวิถึชีวิตปัจจุบัน  ผสมผสานกับวัฒนธรรมสมัยใหม่


หมู่เกาะสี่เกาะห้า ซึ่งประกอบด้วยเกาะเล็กเกาะใหญ่มากมาย เช่น เกาะ
ท้ายถ้ำดำ เกาะร้านไก่ เกาะรูสิมเกาะหน้าผาเทวดา หรือเกาะมวย เกาะ
กันตัง เกาะป้อย เกาะตาใส เกาะยายโส เกาะกระ เกาะราบ ซึ่งเป็นดิน
แดนประวัติศาสคร์ธรรมชาติสมบูรณ์ บริเวณทะเลสาบพัทลุง-สงขลา-
นครศรีธรรมราช เป็นที่ก่อกำเนิดชุมชน อารยธรรม ศิลปวัฒนธรรม
นับพันปี และสืบเนื่องมาเป็นวิถึชีวิตปัจจุบัน ผสมผสานกับวัฒนธรรม
สมัยใหม่ 
เกาะสี่ เกาะห้า  ยังมีรังนกนางแอ่นที่มีคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก 
เพราะนกที่นี่มีอาหารที่อุดมสมบูรณ์ในทะเลสาบสามน้ำ คือ น้ำจืด  น้ำ
กร่อย และน้ำเค็มไม่ว่านกจะบินออกไปหากินไกลแค่ไหนก็ตาม ก็จะกลับ
มาทำรังในถ้ำมืดบน เกาะสี่ เกาะห้า ได้อย่างแม่นยำ เกาะรังนกแห่งนี้
ไม่มีประชาชนอาศัย มีแต่นกนางแอ่นที่อาศัยทำรังอยู่ตามผนังถ้ำ  

บริเวณรอบเกาะจะมีบ้านพักลอยน้ำของคนงานที่คอยดูแลป้องกันมิให้
คนเข้าไปขโมยรังนก นก "อีแอ่น" หรือ นกนางแอ่นเนื่องจากนกนาง
แอ่น เป็นนกเศรษฐกิจของจังหวัดพัทลุง​ ที่สามารถผลิตรังนกจนได้รับ​
การกล่าวขานจากทั่วโลกว่า "ประเทศไทยคือ 1 ใน 3 ของประเทศทั่ว
โลกที่ค้ารังน​ก



          นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมถ้ำรังนกนางแอ่นธรรมชาติได้ และมีเรือนำชมเกาะต่าง ๆ และมีที่พักรองรับนักท่องเที่ยวบนเกาะ ติดต่อที่โทร. 0 9812 1276, 0 1599 7778



พัทลุง

           หาดแสนสุขลำปำ

          อยู่เลยวัดวังไปตามทางหลวงหมายเลข 4047 อีกประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นหาดทรายที่มีทิวสนร่มรื่นริมฝั่งทะเลสาบสงขลา มีศาลากลางน้ำ ชื่อ "ศาลาลำปำที่รัก" สำหรับชมทิวทัศน์บริเวณทะเลสาบ และจากบริเวณชายหาดมีสะพานเชื่อมไปยังเกาะลอย ซึ่งเป็นเกาะที่เกิดจากการทับถมของตะกอนปากน้ำลำปำ




           ศูนย์ศิลปหัตถกรรมรูปหนังบางแก้ว

          ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 บ้านบางแก้ว ตำบลท่ามะเดื่อ ห่างจากตัวเมือง 36 กิโลเมตร จากสามแยกถนนเพชรเกษม-ทางรถไฟ ประมาณ 9 กิโลเมตร ห่างจากทางรถไฟ 200 เมตร หมู่บ้านหัตถกรรมรูปหนังบางแก้วมีสมาชิกจำนวน 25 คน แกะรูปหนังตะลุง หนังใหญ่ และรูปแบบใหม่ ๆ ตามผู้สั่งซื้อ ฝีมือประณีต งดงาม ส่งจำหน่ายทั่วประเทศและต่างประเทศ กว่า 15 ประเทศ สนใจเที่ยวชมและเลือกซื้อรูปหนัง ติดต่อ นายอิ่ม จันทร์ชุม โทร. 0 7469 7160 ประธานหมู่บ้าน หรือสำนักงานพัฒนาชุมชน อำเภอบางแก้ว โทร. 0 7469 7380

           แอ่งน้ำหูแร่

          อยู่ตำบลท่ามะเดื่อ ห่างจากตัวเมืองพัทลุง 33 กิโลเมตร จากถนนเพชรเกษมประมาณ 20 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสายเขาชัยสน-จงเก (หมายเลข 4081) และเลี้ยวขวาบริเวณหน้าที่ทำการอำเภอเขาชัยสนอีกประมาณ 5 กิโลเมตร หน้าที่ว่าการอำเภอจะมีรถจักรยานยนต์รับจ้างบริการนักท่องเที่ยว คลองหูแร่ มีสภาพเป็นคลองขนาดใหญ่ น้ำใสสะอาด พื้นคลองเป็นทรายและโขดหิน บริเวณน้ำลึก เหมาะแก่การพักผ่อนหรือลงเล่นน้ำ มีร้านอาหารบริการนักท่องเที่ยว    

         
 แหลมจองถนน

          เป็นหมู่บ้านชาวประมง อยู่ตำบลจองถนน จากตัวเมืองพัทลุงไปตามเส้นทางสายเพชรเกษม เลี้ยวซ้ายผ่านอำเภอเขาชัยสนไปประมาณ 12 กิโลเมตร ระยะทางห่างจากตัวเมือง 39 กิโลเมตร อยู่บนเนินดินและลาดชันลงไปยังชายหาดทะเลสาบสงขลา สามารถมองเห็นทิวทัศน์ เกาะแก่งต่าง ๆ และยังมีร้านอาหารบริการแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย

  น้ำตกลานหม่อมจุ้ย

          เป็นน้ำตกที่อยู่ท่ามกลางป่าที่ร่มรื่น อยู่ในบริเวณหน่วยพิทักษ์สัตว์ป่าบ้านตะโหมด ลักษณะของน้ำตกจะแบ่งเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นมีชื่อต่างกัน มีแอ่งน้ำสามารถเล่นน้ำได้ การเดินทาง จากอำเภอตะโหมด ใช้เส้นทางหมายเลข 4121 และต่อด้วยเส้นทางหมายเลข 4237 ประมาณ 18 กิโลเมตร จนถึงวัดตะโหมด น้ำตกจะอยู่เลยวัดตะโหมดไป ประมาณ 4-5 กิโลเมตร        

          

พัทลุง

          ถ้ำมัจฉาปลาวน เป็นถ้ำขนาดกลาง อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯประมาณ 2 กิโลเมตร ภายในถ้ำมีห้องโถงใหญ่ 3 ห้อง มีหินงอกหินย้อย ม่านหินปูน และค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีจงโคร่ง กิ้งกือ ปลายถ้ำจะมีแอ่งน้ำกว้างประมาณ 10 ตารางเมตร มีกุ้ง หอย และปลามัด อาศัยอยู่


          ผาผึ้ง อยู่ห่างจากบริเวณที่ทำการอุทยานฯประมาณ 300 เมตร เป็นหน้าผาหินปูนที่มีผึ้งหลวงมาทำรังนับร้อยรังในทุก ๆ ปี ระหว่างช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน หากเดินไปตามทางไหล่เขาด้านบนสุดเป็นจุดชมวิว สามารถมองเห็นธรรมชาติพรรณไม้นานาชนิด


          เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ อยู่ในบริเวณที่ทำการอุทยานฯ มี 2 เส้นทาง เหมาะสำหรับการเดินศึกษาธรรมชาติ สมุนไพร ค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมด้านชีวภาพ

          นอกจากนี้ ยังมีน้ำตกเหรียงทอง ถ้ำวังนายพุด น้ำตกควนประ น้ำตกปากแจ่ม และทางอุทยานฯมีบ้านพักบริการจำนวน 11 หลัง และสถานที่กางเต็นท์ บริการนักท่องเที่ยว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า โทร. 0 7461 9654-5 หรือ สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์พืช โทร. 0 2562 0760 ,0 2579 7223, 0 2579 5734 

          การเดินทาง จากตัวเมืองพัทลุงใช้ทางหลวงหมายเลข 41 ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 4164 (ควนขนุน-เขาปู่) สี่แยกโพธิ์ทอง ประมาณ 17 กิโลเมตร จะเห็นป้ายทางเข้าอุทยานฯ เลี้ยวซ้ายไปประมาณ 4 กิโลเมตร ถึงที่ทำการอุทยานฯ